2 มิ.ย. 60 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศที่สำคัญ และก็เป็นภัยเงียบในสังคมไทย ก็คือการทุจริตและการกระทำผิดกฎหมายและความไม่เข้าใจบิดเบือน ไม่ใช้ข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ เฝ้าระวังทั้งเจ้าหน้าที่ ประชาชน รัฐบาล สาเหตุสำคัญเกิดจากการขาดความรอบรู้ ประสิทธิภาพ จากนโยบายขับ เคลื่อนสู่ผู้ปฏิบัติและสังคม ประชาชน ขาดความยับยั้งชั่งใจของเจ้าหน้าที่ ความไม่พอเพียง ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนส่วนหนึ่งและการไขว่คว้าแสวงหาความสะดวก สบายฟุ่มเฟือย จากของใช้ เครื่องมืออุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ เทคโนโลยีสูง แต่ก็ลืมไปประมาณตนว่ามีรายได้เพียงพอหรือไม่ หรือจำเป็นต่อการดำรงชีวิตหรือไม่
"การทุจริตอาจมาในรูปแบบของการขอรับบริการ การอำนวยความสะดวก ซึ่งผู้กระทำความผิด มักเป็นผู้ที่นิยมการใช้อภิสิทธิ์ หรือต้องการการดูแลเป็นกรณีพิเศษ ที่แย่กว่านั้นก็คือการประกอบกิจการสีเทา หรือการทำธุรกิจที่ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมาย ซึ่งก็เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่บางนาย บางกลุ่ม บังคับใช้กฎหมายที่ตนเองถืออยู่ เพื่อเรียกรับผลประโยชน์ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แบบเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทั้ง 2 ฝ่าย ก็ผิดทั้งคู่ จนเป็นภาระความผูกพัน จนแยกกันไม่ออก แม้ปัญหาลักษณะนี้ จะมีมานาน คู่สังคมไทย จนบางคนชินชาเอือมระอา กลืนไม่เข้า คายไม่ออก แต่วันนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องปลดเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ต้องมีการปฏิรูปสังคม ต้องหยุดวงจรคอร์รัปชั่น เราต้องช่วยกันพิจารณาว่าเราจะร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขได้อย่างไร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สิ่งเหล่านี้ตนคิดว่าแก้ไขได้ โดยการปลูกฝังอุดมการณ์ให้กับข้าราชการ การสร้างจิตสำนึกให้กับทุกคน เริ่มตั้งแต่เยาวชนในระบบการศึกษา และการเป็นตัวอย่างที่ดีของคนในครอบครัว เพื่อเป็นการสร้างความภาคภูมิใจ และการเข้าอกเข้าใจกัน อย่าได้เรียกร้องอะไรที่เกินฐานะพ่อแม่ ผู้ปกครอง เพราะท่านต้องไปหามาสุจริตไม่ได้ก็ทุจริต อย่าไปคิดว่าจะต้องทำทุกอย่างให้มีฐานะเท่าเทียมเพื่อนฝูง จงคิดเสียใหม่ว่า เราทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว แต่คนที่จะมีความสุขในชีวิตได้ คือคนที่รู้จักพอหรือพอเพียง ส่วนคนที่ไม่รู้จักพอก็จะไม่เคยมีความสุขเลย
"รัฐบาลและ คสช. ยอมรับว่าการปราบ ปรามการทุจริต และการจัดระเบียบสังคม และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการไหล เวียนในระบบเศรษฐกิจ มีเศรษฐกิจหดตัวฝืดเคือง ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากเม็ดเงินจากการประกอบธุรกิจสีเทาเหล่านี้ ซึ่งเดิมมีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อมีการปราบปรามอย่างหนัก ก็จะมีผลสะท้อนทางลบ ต่อตัวเลขเงินที่หมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ แต่ถ้าหากเราปล่อยปละละเลย ก็จะเป็นสนิมกัดกร่อนประเทศชาติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในเวลาเดียวกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อีกส่วนหนึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหากับผู้มีรายได้น้อยมาก เพราะว่าบางคนนั้นอยู่ในห่วงโซ่นี้มาโดยตลอด ระยะเวลาที่ผ่านๆมาเขาได้ใช้เงินเหล่านี้ในการดำรงชีพ อาทิเช่น การจ่ายส่วยเพราะขายของบนทางเท้า การขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ การขายหวยใต้ดิน เฝ้าบ่อน เฝ้าซ่องโสเภณี บางคนไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นผิดกฎหมายเพราะทำมาตั้งแต่เด็ก บางคนมักง่ายในการหาเงิน หาง่ายก็ใช้ง่ายเที่ยวเตร่ ใช้เงินง่ายไม่รู้คุณค่าของเงินหมดก็หาใหม่ ก็ต้องทำผิดกฎหมายอีก เกิดการจี้ปล้นทำอาชญากรรมต่างๆ อีกมากมาย พอมาวันนี้ สิ่งที่เคยชิน แต่มันผิด จึงถูกห้าม ถูกจับ ถูกปรับ ทำไม่ได้ ก็เลยรู้สึกว่าเดือดร้อน ก็เป็นส่วนหนึ่งคงไม่ใช่ทั้งหมด
"นักการเมืองที่ไม่ดีนัก ออกมาพูดบิดเบือน โจมตีนโยบายการจัดระเบียบบ้านเมือง ว่าสร้างความลำบากให้กับผู้มีรายได้น้อย คนหาเช้ากินค่ำ เพื่อหวังผลทางการเมือง แล้วข้อเท็จจริงมันคืออะไร ทำไมเราไม่สร้างการรับรู้ที่ถูก ต้องสอนให้ประชาชนมองผลกระทบในระยะยาว ชวนกันทำในสิ่งที่ถูกต้อง มั่นคง และยั่งยืน ดีกว่า" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว