รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมหมาย ภาษี บอกว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ กระทรวงการคลังจะเสนอร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยในแง่หลักการการจัดเก็บนั้น ได้มีการกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีการพิจารณาในส่วนของรายละเอียดในหลักเกณฑ์การยกเว้นหรือลดหย่อนสำหรับที่อยู่อาศัยว่าจะมีหลักเกณฑ์อย่างไร
เบื้องต้นมีแนวคิดจะยกเว้นการจัดเก็บภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยรวมที่ดินที่มีมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท ขณะที่ ในร่างกฎหมายดังกล่าวที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)เสนอว่า ให้หักค่าลดหย่อนก่อนคำนวณภาษี ได้ 50 % แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อลดภาระภาษีคนที่มีรายได้น้อย
สำหรับบ้านที่มีราคาประเมิน โดยกรมธนารักษ์สูงกว่า 2 ล้านบาทนั้น เขากล่าวว่า มีสองแนวทางที่กำลังพิจารณาอยู่ คือ 1. หักลดหย่อน 50 % ของราคาบ้าน แต่ไม่เกิน 2 ล้าน และให้นำมูลค่าบ้านส่วนที่เหลือหลังหักค่าลดหย่อน ใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี และ 2. นำค่าลดหย่อน 2 ล้านบาท มาหักออกจากมูลค่าบ้าน ส่วนที่เหลือใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี
แนวทางดังกล่าว เพื่อช่วยคนที่มีรายได้น้อย ที่เดิมอาจอยู่บ้านหลังเล็กๆ แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปราคาบ้านหลังดังกล่าว มีราคาสูงขึ้น ก็อาจมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบ จึงใช้ราคาประเมินมูลค่าบ้าน หลังหักค่าเสื่อมแล้ว ไม่เกิน 2 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
การกำหนดอัตราภาษีตามกฎหมายนี้ จะไม่กำหนดเต็มเพดานอัตราภาษี แต่กระทรวงการคลัง จะออกกฎหมายลูก เพื่อประกาศอัตราภาษีที่ประกาศใช้จริง ( Effective rate) ซึ่งไม่น่าจะเป็นอัตราที่เป็นภาระของเจ้าของบ้านมากนัก เช่น มูลค่าบ้านที่ใช้เป็นฐานภาษี 1 ล้านบาท จะเสียภาษีราว 1 พันบาทเท่านั้น
สำหรับกรณีการซื้อที่ดินเพื่อสะสมไว้เก็งกำไรของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น กระทรวงจะพิจารณา ยกเว้นภาษีในระหว่างการรอพัฒนา ไม่เกิน 3 ปี ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ จะต้องเสนอให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ พิจารณาก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ด้านอัตราภาษีตามกฎหมายนี้ กำหนดเพดานไว้ 3 รูปแบบ คือ 1.อัตราภาษีที่ดินเพื่อการเกษตร จะเก็บสูงสุดไม่เกิน 0.5 % 2.อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัย จะเก็บไม่เกิน 1 %และ 3.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อการพาณิชย์ เก็บไม่เกิน 4 % ส่วนที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่ได้ทำประโยชน์ตามสมควร เก็บในอัตราไม่เกิน 4 % โดยกระทรวงการคลัง คาดว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีผลในปี 2560 หลังจากที่กรมธนารักษ์ ได้ดำเนินการประเมินราคาที่ดินรายแปลง ที่ใช้เป็นฐานการประเมินภาษี เสร็จสมบูรณ์แล้ว
เมื่อกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลบังคับใช้ จะเท่ากับเป็นการยกเลิกกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่ และกฎหมายภาษีโรงเรือน ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว มีปัญหาหลายประการในทางปฏิบัติ เช่น ภาษีโรงเรือนที่เก็บในอัตรา 12.5 % ของค่าเช่า เกิดความเหลื่อมล้ำในการคิดอัตราภาษีที่ต่างกัน สำหรับโรงเรือนแบบเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน หรือ มีการผลักภาระภาษีให้กับผู้เช่า
ส่วนภาษีบำรุงท้องที่ มีการกำหนดค่าลดหย่อน ทำให้ที่ดินตั้งแต่ 50 ตารางวาจนถึง 5 ไร่ ได้รับยกเว้นภาษี รวมถึง อัตราภาษียังเป็นอัตราถดถอย กล่าวคือ ที่ดินที่มีราคาประเมินสูง เสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าที่ดินที่มีราคาประเมินต่ำกว่า ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ