เปิด 3 สถิติสำคัญในอดีต บ่งชี้ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ ได้แค่ไหน

ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้อย่างต่อเนื่องหนุน โดยความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด จะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ รวมถึงหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI เป็นกลุ่มที่ปรับเพิ่มขึ้นนำตลาด

ซึ่งปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ หลังจากนี้ก็จะยังคงเป็นความคาดหวังในการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด  โดยการออกมาให้ความเห็นของคณะกรรมการเฟด และตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ประกาศออกมาและมีผลต่อการตัดสินใจปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยของเฟดยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม

ส่วนหุ้นกลุ่ม AI ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแรงหนุนตลาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้หรือไม่นั้น ผลการดำเนินงานที่ประกาศออกมาหลังจากนี้จะเติบโตได้ตามที่ตลาดคาดหวังหรือไม่คือปัจจัยชี้วัดสำคัญ อย่างไรก็ดี นอกจากข้อมูลเหล่านั้นแล้ว อีกหนึ่งข้อมูลที่อาจจะบ่งชี้ทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ ในช่วงเวลาต่อจากนี้ได้ก็คือตัวเลขสถิติในอดีตต่าง ๆ ซึ่งเคยเกิดขึ้นและอาจมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง

ตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีในเดือนเมษายน – กรกฎาคม

สถิติแรกคือผลตอบแทนของดัชนี S&P500 รายเดือน ที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2014-2023 ปรากฎว่าในช่วงเดือนเมษายนจนถึงเดือนกรกฎาคมจะเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี โดยในเดือน เมษายน พฤษภาคม และ กรกฎาคม ดัชนี S&P 500 สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 9 จาก 10 ปี

ส่วนในเดือนมิถุนายน ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 8 จาก 10 ปี โดยหากมองข้ามไปยังเดือน สิงหาคมและกันยายนจะเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่าแตกต่างจากในช่วงเดือน เมษายนถึงกรกฎาคม คือ ในเดือนสิงหาคมดัชนี S&P500 ปรับเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างละ 5 ครั้งจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่เดือนกันยายนจะไม่ใช่เดือนที่ดีของตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ มากนัก เนื่อง จากใน 10 ปีที่ผ่านมามีถึง 7 จาก 10 ปีที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง หลังจากดัชนี S&P500 ปรับเพิ่มขึ้นเกิน 10% ติดต่อกัน 2 ไตรมาส ยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ

โดยมีไม่บ่อยครั้งนักที่ผลตอบแทนรายไตรมาสของดัชนี S&P500 จะปรับเพิ่มขึ้นเกิน 10% ถึง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งนับตั้งแต่ปี 1954 เป็นต้นมาเกิดขึ้นเพียงแค่ 8 ครั้งเท่านั้น และครั้งล่าสุดก็คือในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024

โดยสถิติในอดีต หลังจากดัชนี S&P500 ปรับเพิ่มขึ้นเกิน 10% ติดต่อกัน 2 ไตรมาสพบว่ายังคงมีโอกาสที่ดัชนี S&P500 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ โดยใน 7 ครั้งที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (ไม่รวมครั้งล่าสุดที่พึ่งเกิดขึ้น) ผลตอบแทน 1 ไตรมาสถัดไปปรับเพิ่มขึ้นได้ 5 จาก 7 ครั้ง

รวมถึงผลตอบแทนรวม 2 ไตรมาสถัดไปที่เกิดขึ้น ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 5 จาก 7 ครั้งเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผลตอบแทนรวมในช่วงระยะเวลา 1 ปีถัดไปก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 6 จาก 7 ครั้ง โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 12.3%

หลังจากดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มติดต่อกัน 5 เดือนตั้งแต่ พฤศจิกายนถึงมีนาคม ตลาดมักปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักคือผลตอบแทนรายเดือนของดัชนี S&P500 สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 5 เดือนติดต่อกัน ในช่วงระหว่างเดือน พฤศจิกายนต่อเนื่องถึงเดือนมีนาคม โดยในอดีตนับตั้งแต่ปี 1950 เคยเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นเพียงแค่ 12 ครั้งเท่านั้น และครั้งล่าสุดคือในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2023 ต่อเนื่องจนถึงเดือนมีนาคมของปี 2024

โดยจากสถิติในอดีตพบว่าในเดือนเมษายนของ 11 ครั้งที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมีถึง 9 ครั้งที่ดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ และหากดูผลตอบแทนในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นพบว่า ดัชนี S&P500 สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ทุกครั้งและมีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 11.9%

โดยจากทั้ง 3 สถิติที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่ามีโอกาสที่หลังจากนี้ดัชนี S&P 500 จะยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อทั้งในช่วงระยะสั้นและระยะยาว

อย่างไรก็ดี ข้อมูลสถิติที่เกิดขึ้นในอดีตจัดเป็นข้อมูลเชิงปริมาณเท่านั้น และไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจะเกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต แต่นักลงทุนก็สามารถใช้สถิติที่เกิดขึ้นดังกล่าวในการประกอบการตัดสินใจร่วมกับข้อมูลเชิงคุณภาพ อาทิ ผลการดำเนินงานและตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้ด้วยเช่นเดียวกัน...

บทความโดย :     คุณสวภพ ยนต์ศรี AFPT™ Senior Wealth Manager บลจ.ทิสโก้